วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง

ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง

ประวัติผู้แต่งดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง
ผู้แต่ง "ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างของเก่าครั้งกรุงเก่า" ฉบับที่นำเสนอในที่นี้คงเป็นกวีไทย ไม่ใช่พราหมณ์ เพราะได้แสดงออกซึ่งอุปนิสัยของกวีไทยหลายอย่างที่เด่นๆได้แก่
๑) มุ่งแสดงศิลปะการใช้ถ้อยคำ โดยเลือกเฟ้นคำมีสัมผัสอักษรและสระ เช่น "พระพนัศบดีผองสบไศล" นอกจากนี้ยังเล่นคำและความหมายของคำ เช่น "จงเทพารักษรักษา คุ้มเกรงกรุณา ตูข้าจะนำเอาไป"
๒) การวาดมโนภาพ ผู้แต่งได้วาดภาพชีวิตในป่าอย่างสมจริงและรักษาประเพณีการพรรณนาป่า โดยระบุชื่อพรรณไม้ต่างๆ เช่น "หญ้าปล้องหญ้าหวายแลลมาน อ้อยช้างตระการ ทั้งข่อยและแขมโพบาย"


ประวัติหนังสือดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง
วรรณกรรมประเภท "กล่อมช้าง" ของไทยมีหลายฉบับ ฉบับเก่าที่สุดคือ คำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง ขุนเทพกระวี พราหมณ์เมืองสุโขทัยแต่งเป็นภาษากัมพุช โดยมีฉบับแปลดัดแปลงเป็นภาษาไทย ตามี่ปรากฎในบทประพันธ์ ดังนี้

แก้กลอนกัมพุชภาษา แจงแจ้งเอามา
เปนสยามพากยพิไสย

ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างของเก่าที่นำเสนอในที่นี้ก็คือ ฉบับสยามพากย์คู่ขนานกับฉบับกัมพุชพากย์ โดยขุนเทพกระวีนั่นเอง ดังนั้น จึงมีเนื้อเรื่องอย่างเดียวกัน ต่างกันเฉพาะฉันทลักษณ์ คือ ฉบับสยามพากย์แต่งเป็นกาพย์ฉบัง 16 และกาพย์ยานี 11 ส่วนฉบับกัมพุพากย์แต่งเป็นฉันท์


คำนำดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง
ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างเป็นวรรณกรรมซึ่งมีขึ้นเพื่อใช้ประกอบกีฬาการคล้องช้างของพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน จุดประสงค์คือเป็นการเห่กล่อมเพื่อให้ช้างหมดอาลัย และลืมเลือนจากที่อยู่อาศัยแต่เก่าก่อน และเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นช้างทรงขององค์กษัตริย์ ในบทประพันธ์จะเห่กล่อมบอกให้ช้างอย่าถือโกรธ และขอให้ช้างละทิ้งนิสัยดื้อรั้น กลับมาเป็นช้างทรงที่เชื่องและแข็งแกร่งของกษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการ


หน้าหนึ่ง (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
อัญขยมสดุดีพระไพร ป่าดงพงใน
สระสโรชมหิมา

ฉทึงธารคิรีเหวผา ไม้ไล่นานา
อเนกพฤกษพิศาล

ป่งป่าท่าทางเที่ยวธาร อันจรสบสถาน
ข้าขออำลาพระไพร

พระพนัศบดีผองสบไศล ดูข้าตั้งใจ
ทำนุกอำรุงผดุงผดา


หน้าสอง (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
เทียนธูปแลประทีปชวาลา เครื่องโภชนกระยา
สังเวยประดับทุกพรรณ

กล้วยอ้อยพร้าวตาลสบสรรพ์ ถวายแก่พระกรรม์
ประสิทธิพระไพรพน

ลาเทพทั้งพื้นไพรสณฑ์ จงรักษ์ดำกล
หฤไทยตั้งรักษา

อย่าได้เบียดเบียนบีฑา ภูธรประชา
ทั้งปกทั้งปวงเดินดง


หน้าสาม (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
มาลาแลเสวตรฉัตรธง ถวายด้วยใจจง
จงท่านอย่าได้บีฑา

ได้เดินใกล้รายไปมา ขอโทษอำลา
อย่าต้องอย่าพาลเบียดเบียน

ขอจงศุขสถาพรเสถียร อย่าได้วนเวียน
อัญเชิญธสถิตย์ในไพร

ช้างใดต้องบาศบไคล จำนองจองไป
ประโยชน์เลี้ยงรักษา

หน้าสี่ (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
อย่าได้แดเดือดโศกา อย่าครำ่ครวญหา
พ่อแม่พี่น้องเผ่าพันธุ์

เมืองโพ้นนางช้างก็สกรรค์ ย่อมโขลงแส้งสรรค์
ลำเภาดำเนินโสภา

กล้วยอ้อยพร้าวตาลนานา หญ้าเผือเหลือตรา
อเนกด้วยอาหาร

ป่าดงฤาจะเปรียบปูนปาน เบื้องศุขสำราญ
ในไพรพนมชมผา


หน้าห้า (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖ แต่บทสุดท้ายแต่งด้วยวสันตดิลก ๑๔)
เมื่อนอนร่มไม้สาขา หญ้าแฝกแขมคา
แลเงื้อมชรง่อนเทินเขา

เมืองโพ้นโรงรัตนพัฬเหา พเนกจลุงเกลี้ยงเกลา
เมลืองบได้เคืองรคาย

ท่าทางเดินเหินก็สบาย ควาญคชกับนาย
ประจำบห่อนคลาไคล

อ้าพ่ออย่าคิดแก่ชนนี แลชนกในกลางไพร
อ้าพ่ออย่าคิดภคินิใน พนสณฑสิงสถาน

หน้าหก (แต่งโดยวสันตดิลก ๑๔)
อ้าพ่ออย่าคิดคณผู้บุตร อันเสน่หนงพาล
อ้าพ่ออย่าคิดคชผู้หลาน เหลนเหลือลืดแลพงษ์พันธุ์

อ้าพ่ออย่าคิดพนสรนุกนี้ ศุขเล่นพนาวัน
อ้าพ่ออย่าคิดศุขในบรร พตห้วยฉทึงธาร

อ้าพ่ออย่าคิดศุขในป่ง ดในป่าพฤกษาสาร
อ้าพ่ออย่าคิดแก่บริพาร อันเปนเพื่อนในไพรพนม

อ้าพ่ออย่าคิดคชสุคน ธอันเคยภิรมย์ชม
ดอกไม้อันหอมคชผธม ขจรกลิ่นวังเวงใจ


หน้าเจ็ด (แต่งโดยวสันตดิลก ๑๔)
อ้าพ่ออย่าคิดแก่พลผลา ภักษหญ้าอันมีใน
ธารนำ้อันไหลวิสุทธใส แลมาเลี้ยงแก่ตนเอง

อ้าพ่ออย่าคิดทุกขบัดนี้ ทุกขแต่หลังบุราณเพรง
อ้าพ่ออย่าคิดทุกขวังเวง เลยณพ่อจงตามครู

ต้องบาศเรานี้ฤณพ่อ เพราะเสน่หแห่งกู
พังพลายอันใดกลดำรู ก็จะเลี้ยงจะล่ามสงวน

อ้าพ่อจงเสียพยศอันร้าย แลอย่าขึ้นงทรหึงหวล
หล่อหลอนอย่าทำกิจบควร และอย่าถีบอย่าฉัดแทง


หน้าแปด (แต่งโดยวสันตดิลก ๑๔)
อ้าพ่อจงเสียพยศอันเปลื้อง แลอย่าเลื่อมกำแหงแรง
พ่อจำอันสอนจิตรอย่าแคลง แลจงรักทั้งหมอควาญ

จงมีจริตสุทธิอันงาม สบงเสงี่ยมแลเสี่ยมสาร
พวกพ้องนิกรบบริพาร บริรักษ์รักษา

อ้าพ่ออย่าโศกอย่าทุกข์เลย แลอย่าเศร้าอย่าโศกา
อย่าให้พิลาปจิตรอา ดุรเลยจงยลยิน

อ้าพ่ออย่าโทษบิดรมา ดรโทษอันเพื่อนกิน
อ้าพ่ออย่าโทษนรนรินทร์ ทั้งนี้ย่อมอำเภอกรรม์

หน้าเก้า (แต่งโดยวสันตดิลก ๑๔)
อ้าพ่ออย่าโทษชนผู้ใด แลพระพรหมหากสรรค์
มาเปนชำนินรนิรัน ดรเลี้ยงบำเรอหใน

จงพ่ออย่าได้ทุกขทุกขา ดุรเดือดรฤกไพร
จักนำยังโรงรัตนประไพ จิตรจงสำราญรมย์

หนึ่งโสดสมเด็จบรมหง ษ์คือองค์พระพรหม
รังสฤษดิสรรคพ่อมาสม เปนวรพาหนภูเบนทร์

อย่าโทษพ่อแม่คณพี่น้อง แลจงคิดคำนึงเหน
โทษกรรมเองก็บมิเว้น บมิแวะจะหลีกกรรม์


หน้าสิบ (แต่งโดยวสันตดิลก ๑๔)
จงตั้งมโนชที่จะไป บุริรมยหฤหรรษ์
จักเห็นสระกุสุมพรร ณสนุกนิชื่นชม

มีบัวบุษย์บานอุบลจง กลนีก็สรบสม
ใบบัทมแบ่งแลก็สลม ก็สลอนทั้งสระศรี

ตั้งใจราพ่อคชจงเดิน คลในพระบูรี
อย่าคิดลำเนาพนอันมี คชเคยทรเหหวน

พ่อแม่พี่น้องอันเปนเสน่ หทั้งนั้นอย่าเครงครวญ
จงพ่อมาเสียพยศมายวล จิตรโดยตูสมพอง


หน้าสิบเอ็ด (แต่งโดยกาพย์ยานี ๑๑)
แต่นี้พนาทาง ก็กระดาษทั้งผอง
ร่มราบคือน่ากลอง แลธแกล้งประดับดา

ครั้นพ่อแลดีแล้ว วรรราชราชา
จักเปนคเชนทรา ธิปดินทรฤาไกร

มีพวกจเกี่ยวหญ้า มาส่งให้บยากใจ
จักกินอันใดใด ก็จะได้ดั่งใจปอง

หนึ่งโสดนายแลควาญ จะรักษาบให้หมอง
ขัดสีดูเรืองรอง บมิให้มีมลทิน


หน้าสิบสอง (แต่งโดยกาพย์ยานี ๑๑)

ที่อยู่จะใครอยู่ ทั้งที่กินจะใคร่กิน
จงพ่อมายลยิน คดีอันกูกล่าวสาร

หนึ่งโสดประดับด้วย คชาภรณ์อลงการ
ชนักแร่งประแอกอาน แลตระพัตรคนควร

อยู่ป่าไซ้ถีบฉัด แลหล่อแทงทรหึงหวน
จงเสียพยศทั้งมวญ แลมาเชื่องเปนสารศรี

จักเปนชำนิภู ธรเกล้าตรีโลกีย์
ปราบราชไพรี แลจงจำอันสั่งสอน

หน้าสิบสาม (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
หนึ่งโสดกรินีสาทร อันผูกด้วยสร
มนัศใจเสน่หา

ขอแต่พระไพรคณา ตูจักลีลา
ยังศุขรมยบุรี

จงตั้งใจเดินด้วยดี อย่ารำพึงศรี
แลสระสโรชในไพร

ร่มรื่นพื้นป่าพอใจ เปนที่อาไศรย
สนุกนิ์สำราญบรรธม


หน้าสิบสี่ (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
ป่งป่าท่าทางเคยชม ในพระบุรีรมย์
สนุกนิ์กว่านี้แสนทวี

นำ้ไหลไคลคลายเปรมปรีดิ์ บัวจงกลนี
ทั้งหญ้าระร่อนอ่อนหวาน

อุบลสัตบันแบ่งบาน นานาผลาหาร
สำราญภิรมย์อนันต์

อย่าคิดถึงเผ่าพงษ์พันธุ์ พี่น้องพ้องสรรพ์
ลูกจรัลจรกลางแด


หน้าสิบห้า (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
แม่ลูกผูกรักเลงแล เคยเคียงผันแปร
แลแล่นมาเคล้าคลึงกัน

แม่รักลูกรักจรจรัล พลายพังก็กระสัน
ทรหึงทรโหยโหยหา

ไห้ห่มรมยวนไปมา อย่าเศร้าโศกา
ทั้งนี้ย่อมแรงกรรม์

กมลาศน์ธแกล้งเกลาสรรค์ อย่าโทษพงษ์พัน
ธุทุกเทพยมานุษย์เลย


หน้าสิบหก (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
แต่นี้จงสร่างสรเบย ทุกขหลังอันเคย
พิบากลำบากเหลือใจ

เมื่ออยู่ป่าดงพงไพร หากินเองใน
พนานตยากหนักหนา

หนึ่งโสดฝุ่นทรายตรึงตรา นอนแนบหินผา
กระด้างกระเดื่องทั้งตัว

แต่นี้เกลือกตมทรายมัว บมิได้พอกพัว
เพราะนายแลควาญรักษา


หน้าสิบเจ็ด (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
แต่นี้ไปโดยรัถยา ทางท้องมหิมา
สลมสลอนพร้าวตาล

หญ้าปล้องหญ้าหวายแลลมาน อ้อยช้างตระการ
ทั้งข่อยแลแขมโพบาย

หนึ่งโสดฝูงช้างพังพลาย อยู่เมืองโพ้นหลาย
คเชนทรเผือกพัฬเหา

ลางตัวตัวผู้มาเอา กลิ่นตัวเมียเมา
รดีรดัสกำจร


หน้าสิบแปด (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)

ย่อมช้างมีลักษณบวร ชำนิภูธร
ธิราชเจ้าจอมไตร

ส่วนกรินีโสดก็จะไป อยู่โรงเรียนใน
กรลาบังคัลคนผจง

เทียมเทียบเกยรัตนยรรยง แนมแนบพลายพงษ์
เชื้อคเชนทรอันดี

จงเสียพยศร้ายราวี วัดวายถีบตี
ทั้งฉัดแลหล่ออย่าทำ

หน้าสิบเก้า (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
สั่งสอนอันใดพึงจำ อย่าได้ฝ่าคำ
อันกล่าวนี้หนอจงตาม

ครั้นดีเชื่องชาญในสนาม กินผอกเหลือหลาม
สนุกนิอยู่หรรษ์

อาภรณ์ประดับสรรพสรรพ์ คับควรทุกอัน
กระพัตรคนซองหาง

ชนักแร่งแลพนาศสำอาง งามทั่วสรรพางค์
คล้อยดำเนินโสภา


หน้ายี่สิบ (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
เปนพาหนสมเด็จราชา ผ่านผ้าสีมา
อรินทรเรียบฤาเสบย

ใต้ฟ้าฤาจะเปรียบปูนเลย โอ้กรินีเอย
ประเสริฐแลใดปาน

ขอเทพารักษ์ทุกสถาน จงช่วยบริบาล
สถิตย์ทั้งทั่วสรรพางค์

ฤาษีสิทธิสถิตย์บาศอย่าวาง ทั้งสี่ในปาง
นี้หนอจงช่วยรักษา


หน้ายี่สิบเอ็ด (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
ช้างใดต้องบาศอย่าคลา ผลนั้นมหิมา
ครั้นสิ้นชีวิตรไปสวรรค์

ส่วนช้างพังพลายสบสรรพ์ ไป่ต้องบาศอัน
พิเศษเลื่องฤาไกร

จองอยู่ป่าดงพงไพร แผ่เผ่าพันธุ์ใน
พนานตให้มากหลาย

หนึ่งจงเลี้ยงม่ามอ่ามสาย ลูกเต้าพังพลาย
แลพรรค์คเชนทรมากมี


หน้ายี่สิบสอง (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
จงชมพนสณฑคิรี ในไพรพงพี
สนุกนิเสนาะหัวใจ

จงชมเทินธารนำ้ไหล คล่าวคล้ายแสงใส
แลออกแต่เงื้อมแง่เขา

จงชมบึงบางเซราะเซรา ที่ธารทางเทา
แลเที่ยวมาจวบจบกัน

จงชมพฤกษาหลายพรรณ ต้นเรียบเรียงรัน
แลร่มชรอื้อใบบัง


หน้ายี่สิบสาม (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
จงชมดอกโดรทั่วทัง ป่าปรือไพรกรัง
สนุกนิเร่งเชยชม

ครั้นแล้วบาศธก็จะสม สบบาศคือพรหม
ไว้ประสิทธิสบสรรพ์

ส่วนเจ้าป่าดงพงษ์พันธุ์ เทพารักษ์อัน
อเนกทั่วไพรกรัง

ข้าขอฝากทั้งพลายพัง อันได้ด้วยหวัง
แลบาศไปคล้องตรึงตรา

หน้ายี่สิบสี่ (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
จงเทพารักษ์รักษา คุ้มเกรงกรุณา
ตูข้าจะนำเอาไป

ส่วนพระภูธรผู้ไกร ขอลาพระไพร
ไปยังอโยทธยาศรี

จงสถาพรศุขมากมี ขอลาพระไพร
หฤไทยมีหฤหรรษ์

ทั้งนี้โสดองค์พระสรร เพชญไท้ทรงธรรม์
เลิศนิลำ้ไตรตรา

หน้ายี่สิบห้า (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
แก้กลอนกัมพุชภาษา แจงแจ้งเอามา
เปนสยามพากยพิไสย

ฝ่ายข้างไสยสาตรนี้ใคร ฤาจะเปรียบปูนใน
พระองค์ไท้ทรงธรรม์

เมื่อเสร็จการอุดมกรรม์ ได้ช้างเผือกอัน
วิสุทธิสารบวร

ทุกเทพทั้งหลายชมอร จึ่งอวยพระพร
แก่พระผู้เลี้ยงโลกา

หน้ายี่สิบหก (แต่งโดยกาพย์ฉบัง ๑๖)
พระชนมยืนมหิมา สิบร้อยพรรษา
พระเกียรติลำ้แสนกัลป์

ศักดิสิทธิฤทธิเดชสบสรรพ์ โองการอันพรร
ณาประสิทธิกิจการ




ฉบับถอดความ
ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง

1. ข้าพเจ้าขอถวายสุดดีพระไพร เทพผู้สถิตในป่าเขาและในสระบัวใหญ่
2. ในแม่น้ำลำธาร ภูเขา หุบเหว ต้นไม้ นานาชนิด
3. ข้าพเจ้าขออำลาป่า ท่าน้ำที่ได้เคยท่องเที่ยวทั่วทุกแห่งหน
4. ข้าพเจ้าขออำลาพระไพร ผู้เป็นใหญ่ในป่าเขาทั้งหลาย ซึ่งข้าพเจ้าตั้งมั่นที่จะบำรุงรักษาถวายความเคารพ

5. ด้วยเครื่องสังเวยอันประกอบด้วย ธูปเทียน ประทีป เครื่องโภชนาหารนานาชนิดครบครัน
6. ทั้งกล้วย อ้อย มะพร้าว ลูกตาล ขอถวายสิ่งทั้งหลายแต่พระกรรมบดีผู้เป็นพระไพรผู้ยิ่งใหญ่ในป่า
7. ข้าเจ้าขออำลาเทพทุกองค์ที่สถิตในป่า ได้โปรดรักษาข้าพเจ้าให้ปลอดภัย
8. อย่าเบียดเบียนกษัตริย์หรือปวงชนที่เข้ามาเดินในป่า

9. ขอถวายดอกไม้ เศวตฉัตร ธง ด้วยเจตนาอันแน่วแน่ ขอพระองค์อย่าได้รบกวนเลย
10. ที่เคยได้เดินเฉียดไปมา ก็ขออภัยโทษและขออำลาจากไป อย่าโกรธอย่าเบียดเบียนเลย
11. ขอพระองค์จงมีความสุขยั่งยืนนาน อย่าตามไปรบกวน ขอเชิญสถิตอยู่แต่ในป่านี้เถิด
12. ช้างที่ถูกคล้องด้วยเชือกบาศและถูกจับไปนั้นก็เพื่อไปเป็นประโยชน์จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี

13. ขอ (ช้างที่ต้องบาศ) อย่าได้โกรธเคือง โศกเศร้า และคร่ำครวญหาพ่อแม่พี่น้องและเผ่าพันธุ์
14. ในเมืองมีนางช้างที่แข็งแรงสวยงามอยู่รวมกันเป็นโขลง ท่าเดินสง่างามราวแสร้งสรรค์
15. อาหารการกินก็บริบูรณ์ มีทั้งกล้วย อ้อย มะพร้าว ตาล และหญ้ามากเหลือเฟือ
16. สุขสำราญอย่าที่ในป่ามิอาจเปรียบปานได้ อยู่ในป่าก็จะได้ชมแต่ภูเขาหินผา

17. ยามนอนก็ต้องนอนใต้ร่มไม้ใหญ่ ที่นอนมีแต่หญ้าแฝกหญ้าแขม หญ้าคา และเงื้อมเขา
18. ส่วนในเมือง มีที่อยู่ใหญ่โตงดงาม สะอาด มีหมอนหนุนและมีเสาเกลี้ยงเกลาไม่ระคายเคืองแต่ประการใด
19. ท่าน้ำและถนนหนทางก็เดินสบาย มีควาญช้างและคนเลี้ยงประจำตัวคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
20. ขอพ่อพลายอย่าด้มัวคิดถึงพ่อแม่พี่น้องที่ยังอยู่ในกลางป่าอีกต่อไปเลย

21. ขอพ่อพลายอย่าได้คิดถึงลูกๆที่กำลังน่ารัก และอย่าคิดถึงหลานเหลนลื้อลืดและพงศ์พันธุ์เลย
22. ขอพ่อพลายอย่าได้คิดถึงความสนุกสนานในป่า อย่าคิดถึงการท่องเที่ยวไปตามภูเขาและตามห้วยละหานอีกเลย
23. ขอพ่อพลายอย่าได้คิดถึงความสุขในพงไพร อย่าคิดถึงต้นไม้และบริวารที่เคยอยู่เป็นเพื่อนกันในป่าอีกเลย
24. ขอพ่อพลายอย่าได้คิดถึงกลิ่นหอมของนางช้างที่เคยชมเชย และกลิ่นดอกไม้หอมรัญจวนใจที่เคยดอมดมเมื่อยามนอน

25. ขอพ่อพลายอย่าได้คิดถึงผลไม้และหญ้าที่ขึ้นอยู่ตามธารน้ำไหลใสบริสุทธิ์ ที่พ่อพลายได้เคยท่องเที่ยวหากินเอง
26. ขอพ่อพลายอย่าคิดถึงความทุกข์ในปัจจุบัน อย่าคิดถึงทุกข์ในอดีตอย่ารู้สึกวังเวงใจ เพราะความทุกข์ ขอให้เชื่อฟังครูเถิด
27. ช้างพลายและช้างพังถูกบ่วงบาศก์ด้วยเสน่ห์ของเรา ช้างใดที่มีลักษณะงามก็จะล่ามถนอมเลี้ยงไว้
28. ขอพ่อพลายจงละพยศร้ายเสียเถิด อย่าโกรธขึง อย่าส่งเสียงเอ็ดอึงให้ปั่นป่วน อย่าสะบัด ทำสิ่งที่ไม่สมควร อย่าถีบ อย่าเตะ อย่าแทง

29. ขอพ่อพลายจงละพยศเสียให้หมดเถิด อย่าทำรุนแรง จงจำคำสอนอย่ามิจิตคิดระแวงสงสัย จงรักหมอควาญเถิด
30. ขอพ่อพลายจงมีความประพฤติที่บริสุทธิ์งดงาม มีความสงบเสงี่ยมอ่อนน้อม และจงมีความเอื้อเฟื้อต่อผู้คนและพวกพ้องที่มาดูแลอยู่รอบข้าง
31. ขอพ่อพลายอย่าทุกข์อย่าโศก อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ อย่าเร่าร้อนใจไปเลย จงตั้งใจฟังคำ
32. ขอพ่อพลายอย่าโทษพ่อแม่ อย่าโทษเพื่อนฝูง อย่าโทษผู้คนหรือพระราชาเลย เป็นดังนี้เพราะกรรมเก่า

33. ขอพ่อพลายอย่าโทษใครอื่นเลย เป็นดังนี้เพราะพระพรหมทรงสร้างให้เป็นช้างที่คนขับขี่และบำรุงเลี้ยงดูให้ความสุขสำราญ
34. ขอพ่อพลายอย่าได้มีความทุกข์เดือดร้อนคิดถึงป่า จะพาพ่อพลายไปอยู่ในโรงช้างที่สวยงาม จงทำใจให้เบิกบาน
35. ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระพรหมผู้ทรงหงส์ได้ทรงสร้างให้พ่อพลายได้มาเป็นช้างทรงที่ดีของพระราชา
36. อย่าโทษพ่อแม่พี่น้องเลย จงคิดว่าเป็นกรรมของตนเองซึ่งไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้พ้น

37. ของจงตั้งใจให้แน่วแน่ว่าจะไปอยู่ในเมืองที่มีแต่ความสุขสำราญจะได้เห็นสระบัวหลากพรรณน่าชื่นชม
38. มีดอกบัวนานาชนิดบานทั้งอุบล จงกลนี มีใบบัวชูสลอนเต็มทั้งสระ
39. พ่อจงตั้งใจเดินจนถึงในเมืองอย่าคิดหวนกลับไปอยู่ในป่ากับเพื่อนพ้องผู้คุ้นเคยเลย
40. อย่าคร่ำครวญหาพ่อแม่พี่น้องอันเป็นที่รักอีกเลย จงละทิ้งอารมณ์ที่มารุมเร้าให้พยศ จงมีใจยินดีตามที่ข้าได้ตั้งความปรารถนาไว้

41. ต่อไปภายหน้าทางของพ่อพลายก็จะดี ร่มรื่นและราบเรียบราวกับหน้ากลอง ประหนึ่งมีผู้ตั้งใจประดับประดาไว้อย่างงดงาม
42. เมื่อพ่อพลายได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีแล้ว ต่อไปก็จะได้เป็นช้างทรงของพระมหากษัตริย์ผู้มีฤทธานุภาพเกรียงไกร
43. จะมีคนเกี่ยวหญ้ามาให้พ่อพลายกิน ไม่ต้องลำบากไปหากินเอง และถ้าพ่อพลายต้องการกินสิ่งอื่นใดก็จะได้สมใจปรารถนา
44. นายช้างและควาญช้างจะคอยดูแลรักษา อาบน้ำขัดถูร่างกายให้สะอาดหมดจดดูสดใส

45. ที่อยู่ก็น่าอยู่อาหารก็น่ากินขอพ่อพลายจงเชื่อฟังข้อความที่กล่าวนี้เถิด
46. พ่อพลายจะมีเครื่องประดับที่งดงาม จะมีสายเชือกคล้องคอ มีกูบและสายรัดกูบกระชับพอเหมาะพอดี
47. เมื่อพ่อพลายอยู่ในป่า เคยดิ้นเตะถีบใช้งาแทงส่งเสียงเอ็ดอึง ต่อแต่นี้ไปขอให้ละพยศให้หมด จงเป็นช้างที่เชื่องและดีงาม
48. จะได้เป็นช้างทรงของกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ในโลกทั้งสาม สามารถปราบข้าศึกได้ราบคาบ ขอพ่อพลายจงจำคำสั่งสอนนี้

49. อนึ่ง ช้างพังที่ยังรักและเอาใจใส่ก็ยังมีจิตใจรักอยู่
50. ข้าขอลาพระไพรทั้งหลายเพื่อไปสู่เมืองซึ่งมีแต่ความสุขและรื่นรมย์
51. ขอพ่อพลายจงตั้งใจเดินด้วยดี อย่าเป็นห่วงกังวลถึงช้างพังและสระบัวในป่าอีกเลย
52. อย่าคิดถึงความร่มรื่นในป่าซึ่งเคยเป็นที่อยู่ที่นอนและที่เคยเที่ยวสนุก

53. ป่า ท่าน้ำและทางเดินที่พ่อพลายเคยไปเที่ยวชมนั้น เมื่อเทียบกับบ้านเมืองแล้ว ในเมืองสนุกกว่านับแสนเท่า
54. ในเมืองมีธารน้ำไหลชะล้างเหงื่อไคลและเล่นอย่างสนุกสนาน มีบังจงกลนีและมีหญ้าอ่อนๆรสหวานอร่อย
55. บัวอุบลและสัตตบรรณแบ่งบาน ผลไม้ที่เป็นอาหารก็มีหลากหลายล้วนอร่อยน่ารับประทาน
56. ขอพ่อพลายจงเลิกคิดถึงเผ่าพันธุ์พี่น้องทั้งหลายแม้ลูกรักดังดวงใจก็จงลืมเสีย

57. แม่ช้างและลูกช้างที่รักและเคยอยู่ใกล้ชิดกัน จะจากไปจึงวิ่งเมาเคล้าเคลียกัน
58. พ่อช้างและแม่ช้างจะจากลูกไปต่างก็คิดถึงลูก
59. อย่าเฝ้าแต่ร้องไห้ทุกข์ร้อนอย่าโศกเศร้าไปเลย ทั้งนี้เพราะผลแห่งกรรม
60. พระพรหมได้ลิขิตไว้ อย่าโทษพงศ์พันธุ์ตนเอง อย่าโทษทวยเทพหรือมวลมนุษย์เลย

61. ต่อนี้ไป จงมีแต่สุขสบาย อันความทุกข์ลำบากที่เคยมีมาแต่หนหลังจงคลายลง
62. เมื่ออยู่ในป่าคงต้องลำบากหากินเอง กว่าจะได้กินก็ยากหนักหนา
63. อีกทั้งฝุ่นทรายติดตามตัว และต้องนอนตามหินผาที่แข็งกระด้างไม่สบาย
64. ต่อนี้ไป เปือกตมทรายที่สกปรกก็จะไม่พอกอยู่ตามตัวอีกแล้ว เพราะมีนายช้างและควาญช้างคอยดูแล

65. ต่อไปนี้จะเดินทางไปไหนก็มีแต่ถนนหนทางอันกว้างใหญ่รายเรียงไปด้วยมะพร้าวและตาล
66. อีกทั้งหญ้าปล้อง หญ้าหวาย หญ้าละมาน ต้นอ้อยช้าง ข่อย แขมและโพบาย
67. นอกจากนี้ในเมืองยังมีช้างพัง ช้างพลายและช้างเผือกมากมาย
68. ช้างพลายบางตัวได้กลิ่นช้างพังก็รู้สึกหลงรัก

69. ช้างบางเชือกมีลักษณะงามสมควรเป็นช้างทรงของกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่
70. มีช้างพังมากมายอยู่ในโรงเรียงกันไป มีคนคอยเฝ้าดูแล
71. จะได้เทียบเกยอันงดงามเป็นช้างทรงเช่นเดียวกับช้างพันธุ์ดีอื่นๆ
72. จงเลิกพยศร้าย อย่าต่อสู้ อย่าเตะ อย่าถีบ อย่าสะบัด

73. สั่งสอนสิ่งใดจงจดจำให้ดี อย่าฝ่าฝืน จงทำตาม
74. เมื่อเป็นช้างที่ดี เชื่องและเก่งในการรบ ก็จะได้กินอาหารมากมาย มีความสุขสนุกสนาน
75. จะได้ประดับอาภรณ์ครบทุกอย่าง มีกูบสายรัดและซองหาง
76. มีชนักผูกคอและเบาะปูหลังทำให้ดูงามไปทั้งตัว เวลาเดินก็เดินช้าๆอย่างสง่างาม

77. พ่อพลายจะได้เป็นพาหนะสำหรับกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินซึ่งเหล่าศัตรูเกรงขามและยอมอ่อนน้อม
78. แม่ช้างเอ๋ย ในโลกนี้ไม่มีช้างใดจะประเสริฐเปรียบปานพ่อพลายนี้ได้เลย
79. ขอเทพารักษ์ทุกแห่งหนโปรดช่วยคุ้มครองดูแลรักษาและมาสถิตอยู่ทั่วกายของพ่อพลาย
80. ฤาษีสิทธิบาศทั้งสี่ผู้สถิตในบ่วงบาศ ขออย่าได้ละวาง จงช่วยรักษา

81. ช้างใดถูกบ่วงบาศคล้องก็อย่าได้หลุดไป เพื่อเกิดผลอันยิ่งใหญ่ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์
82. ส่วนช้างพังพลายทั้งหลายที่ไม่ถูกบ่วงบาศอันศักดิ์สิทธิ์เลื่องลือไปทั่ว
83. ก็จงอยู่แพร่เผ่าพันธุ์ในป่าดงพงไพรให้มากหลายสืบไป
84. อนึ่ง จงเลี้ยงดูลูกเต้าพังพลายจำนวนมากเหล่านั้น

85. จงชมป่าเขาให้สนุกเพลิดเพลินใจ
86. จงชมเนินเขา ลำธารน้ำใสซึ่งไหลออกมาแต่เงื้อมแง่เขา
87. จงชมบึงบางที่เกิดจากธารน้ำไหลกัดเซาะมาบรรจบกัน
88. จงชื่นชมพฤกษานานาพรรณที่มีลำต้นเรียบขึ้นเรียงรายเป็นแถว ดูร่มรื่นด้วยใบที่หนาแน่น

89. จงชมดอกไม้ที่หอมตรลบทั้งป่าและต้นปรือที่ขึ้นทั่วทั้งป่าน่าชม
90. ต่อไปภายหน้าพระพรหมก็จะทรงบันดาลให้ถูกคล้องมาได้ด้วยบ่วงบาศนี้
91. เจ้าป่าและเทพารักษ์ผู้เป็นใหญ่ในป่า
92. ข้าขอฝากช้างพลายและช้างพังที่คล้องมาได้ด้วยบ่วงบาศนี้

93. ขอเทพารักษ์ได้โปรดคุ้มครองและกรุณาให้ข้านำไป
94. ส่วนพระราชาผู้เก่งกล้าก็จะขอลาพระไพรกลับคืนไปยังกรงศรีอยุธยา
95. ขอพระราชาทรงเป็นสุขสถาพร ยิ่งด้วยยศเหนือผู้ใดในโลก ทรงมีพรหฤทัยเบิกบานหรรษา
96. พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้รอบรู้และตั้งมั่นในคุณธรรมอันประเสริฐเหนือบุคคลอื่นใดในสามโลก

97. ทรงแปลคำประพันธ์ภาษาเขมรเป็นภาษาสยามได้กระจ่างชัด
98. ทรงเชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์หาผู้ใดเปรียบปานมิได้
99. เมื่อการประกอบพิธีครบถ้วน และได้ช้างเผือกอันงามบริสุทธิ์แล้ว
100. ขอเทพยดาทุกองค์จงชื่นชมถวายพระพรแด่พระมหากษัตริย์

101. ขอจงเจริญพระชนม์ยั่งยืนนานนับพันปี มีพระเกียรติเลิศล้ำแสนกัลป์
102. ขอจบทรงมีความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์เดชครบทุกประการ ขอให้คำประกาศนี้จงประสบความสำเร็จเทอญ


บรรณานุกรมดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง
ประเทศไทย. ANTHOLOGY OF ASEAN LITERATURES. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) , ๒๕๓๙.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์ , ๒๕๒๕.

ดัชนีคำศัพท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง
กมลาศน์ : พระพรหม
กัมพุช : กัมพูชา
กระสัน : ความต้องการในรัก
กรินี : ช้างเพศเมีย
กลางแด : ตรงกลางดวงใจ
กำแหง : พยศ , ไม่เชื่อฟัง
ขจร : กระจาย
คช : ช้าง
คิรี : ภูเขา
คลาไคล : ใกล้ชิด
คเชน : ช้าง
ไคล : คราบเหงื่อไคล
เงื้อม : ชะง่อนเขา
จงกลนี : ดอกบัว
จลุง : หมอนหนุน
ฉัด : เตะ
ชนนี : แม่
ชนัก : เครื่องมือใช้สำหรับบังคับช้าง
ชวาลา : โคมไฟ
ชีวิตร : ชีวิต
ชำนิ : สวยงาม
ซองหาง : สายรัดประดับหางช้าง
เซราะเซรา : การกัดเซาะของสายน้ำ
ดอกโดร : ดอกไม้
ดำรู : ลักษณะงาม
ตม : ปลัก , โคลน
ตรีโลกีย์ : โลกทั้ง ๓ คือ สวรรค์ มนุษย์ และ บาดาล
ตรึงตรา : ติดอยู่ภายใน
ทุกขา : ความทุกข์ใจ
ทั้งมวล : ทั้งหมด , ทั้งสิ้น
เทินเขา : เนินเขา
นรินทร์ : พระราชา
นิรันดร : ตลอดไป
นิเรง : ชื่นชม
บาศ : เชือกสำหรับคล้องช้าง
บริบาล : คุ้มครอง , รักษา
บริพาร : บริวาร , ข้ารับใช้
บีฑา : รบกวน
บุราณ : เก่าแก่ , โบราณ
บูรี : เมือง
ป่ง : ป่าเขา
ประเสริฐ : ดีเลิศ
ผจง : เฝ้าดูแล
ผลาหาร : อาหาร
ผอก : อาหาร
ฝ่าคำ : ขัดคำสั่ง
พนม : ภูเขา
พนานต : ป่าเขา
พรรษา : ปี
พระกรรม์ : พระกรรมบดี
พระพนัศบดี : เทพแห่งป่าเขา
ไพรสณฑ์ : ป่าเขา
พฤกษ : ต้นไม้
ภคินี : พี่น้อง
ภูเบนทร์ : พระราชา
มลทิน : ริ้วรอย , ตำหนิ
มานุษย์ : มนุษย์ , คน
มาลา : ดอกไม้
ยวลจิตร : ยั่วใจ
ยศ : บรรดาศักดิ์
รดีรดัส : หลงรัก
รัถยา : เดินทาง
ราวี : ติดตามมาทำร้าย
เรืองรอง : สวยงาม , ผ่องใส
ลมาน : หญ้าละมาน
โลกา : โลก
เลื่องฤา : เป็นที่กล่าวขาน
ลำเภา : สวยงาม
วิสุทธ : บริสุทธิ์
ศุขรม : ความสุขสบายใจ
โศกา : ความเศร้าโศก
ไศล : ภูเขา
สกรรจ์ : แข็งแรง , สวยงาม
สรนุกนิ์ : สนุกสนาน
สรรพ : ทุกสิ่งอัน
สรเบย : สุขสบาย
สระสโรช : สระบัว
เสถียร : ยั่งยืนนาน
หมอควาญ : ผู้ฝึกช้าง
หฤหรรษ์ : สนุกสนาน
หฤไทย : หัวใจ
อลงการ : ฟู่ฟ่า , ยิ่งใหญ่
อาดุร : โศกเศร้า
อาไศรย : พำนัก , พักพิง
อุดมกรรม์ : พิธี
อโยทธยา : กรุงศรีอยุธยา
อัญขยม : ข้าพเจ้า
ฤทธิเดช : มีอำนาจ
ฤาษีสิทธิ : ฤาษีผู้มีความชำนาญในการใช้บาศคล้องช้าง

สัตว์หิมพานต์ ที่มาและลักษณะของสัตว์หิมพานต์

สัตว์หิมพานต์
นาคปักษี นาคปักษิณ พานรมฤค นรสีห์ อสูรปักษา เทพนรสิงห์ พานรปักษา อสุรวิหค สัมพาที นกเทศ พญาครุฑ หงส์ ติณราชสีห์ กาสรสิงห์ บัณฑุราชสีห์ สิงหรามังกร เหมราช สกุณไกรสร ทักทอ โตเทพอัสดร สินธพนที เหมราอัสดร กิเลน เหรา พญานาค มัจฉานุ แรด มัชฉวาฬ กุญชรวารี

นาคปักษี ดูตามชื่อเป็นสัตว์ที่ประกอบด้วย นาค(งู) และปักษี(นก) นาคนั้นตามนิยายย่อมจำแลงเป็นอะไรต่าง ๆ ได้ เพราะเป็นพวกมีฤทธิ์อย่างนิยายที่เล่ากันติดปากว่า ครั้งหนึ่ง มีพญานาคตนหนึ่ง แปลงเป็นมนุษย์มาขอบวชในพระพุทธศาสนา วันหนึ่งจำวัดหลับไป ขาดการสำรวม ร่างกายก็กลับเป็นพญานาคตามเพศเดิม มีคนมาพบเข้า เลยต้องสึก แต่ก็ขอฝากชื่อ "นาค" ไว้ ใครจะบวชก็ให้เรียกว่า "นาค" จากนิยายเรื่องนี้ เลยเกิดเป็นธรรมเนียมแต่งตัวผู้ที่จะบวชให้เป็น "นาค"ตามนิยมเมื่อโกนผมแต่งตัวนาค จะแห่ไปวัด ก็ทำลอมพอกเป็นหัวพญานาคสวมศรีษะในสมัยก่อนจะพบในบางท้องถิ่นอยู่เสมอ ในทางช่าง เมื่อแสดงภาพนาคจำแลงเป็นมนุษย์ ก็สวมชฎายอดเป็นหัวพญานาคแต่ในภาพนี้แทนที่จะทำหางเป็นนก กลับเอาหางพญานาคมาใช้ จึงดูเป็นสามส่วนคือหน้าและตัวเป็นมนุษย์ ขาเป็นนก และหางพญานาค ดู "นาคปักษิณ" ประกอบด้วย เพราะชื่อคล้ายกัน แต่ลักษณะต่างกันมาก รูป "นาคปักษี" นี้ผู้เขียนรูปไปได้แบบมาจากประตูโบสถ์วัดนางนอง ธนบุรี


นาคปักษิณ นาคปักษิณเป็นสัตว์กึ่งน้ำกึ่งบก คือเอาส่วนหัวของ "นาค" มาประสมกับส่วนตัวของ "ปักษิณ" ซึ่งแปลตามตัวว่า สัตว์มีปีก ก็คือนกนั่นเอง "นาค" มีความหมายหลายอย่าง แต่ในที่นี้หมายถึงงูใหญ่ในนิยาย ซึ่งเรามักเรียกกันว่า "พญานาค" พญานาคตามทัศนะของจินตกวีและช่างเขียนเป็นงูใหญ่ประเภทมีหงอนและเครา ตามนิยายโบราณมักจะกล่าวถึงพวกนาคมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์เสมอ เรื่องของพญานาคมีที่มาเป็นสองทาง คือทางลัทธิพราหมณ์กับทางพุทธศาสนา พญานาคทางลัทธิพราหมณ์ออกจะถือกันว่าเป็นเทวดาแท้ ๆ เช่น พญาอนันตนาคราช และท้าววิรุฬปักษ์ (ดูหนังสือ "เทวนิยาย" โดย "ส.พลายน้อย") ว่าถึงที่อยู่ของพวกนาค ก็มีทั้งที่อยู่บนบกและอยู่ในน้ำ อย่างพญาวาสุกรี ที่อยู่เมืองบาดาลก็ไม่ใช่ในน้ำ เป็นเมืองที่อยู่ใต้โลกมนุษย์ลงไปอีกชั้นหนึ่ง นาคทางคัมภีร์พุทธศาสนามักอยู่ในโลกมนุษย์เรานี้ อยู่ในโพรงบ้าง ในถ้ำบนบกบ้าง อยู่ในน้ำบ้าง อย่างพญานาคชื่อภูริทัต ในมหานิบาตชาดก ก็อยู่บนบก แต่ตามเรื่องไทย ๆ เราว่า พญานาคอยู่ในน้ำกันมาก นาคพิภพที่ว่าอยู่ใต้ดินนั้น มีกล่าวในไตรภูมิพระร่วงว่า "แต่แผ่นดินดันเราอยู่นี้ลงไปเถิงนาคพิภพ อันชื่อว่าติรัจฉานภูมินั้น โดยลึกได้โยชน์ ๑ แล ผิจะนับด้วยวาได้ ๘๐๐ วาแล" นาคปักษิณ หัวเป็นนาค มีหงอน ส่วนท่อนหางเป็นแบบหางหงส์ เพื่อให้รับกับส่วนหัว

พานรมฤค พานี, วานร แปลว่า ลิง เหมือนกัน คือในบาลีและสันสกฤตใช้ว่า วานร ไทยเรามาแผลง ว เป็น พ จึงเป็นพานร ถ้าเป็นหัวหน้าลิงก็ใช้ว่า พานรินทร์ คือพญาลิง ในรูปก็เป็นพญาลิง ไม่ใช่ลิงธรรมดา พานรมฤค เป็นสัตว์ประเภทเดียวกันกับเทพนรสิงห์, นรสีห์ คือท่อนล่างเป็นสัตว์ประเภทมีกีบ คำว่า "มฤค" มีความหมายกว้าง คือหมายถึงสัตว์ป่า มีกวาง อีเก้ง เป็นต้นถ้าเป็นตัวเมีย ก็ใช้ว่า มฤคี แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น มฤคราช, มฤคินทร์, มฤเคนทร์ ก็หมายถึง ราชสีห์ กลายเป็นสัตว์ร้ายมีอำนาจขึ้นมาทันที ไม่ดูขลาดเหมือนกวาง เหมือนอีเก้ง ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า พานรมฤคตัวนี้นุ่งผ้าสั้นเต็มที สั้นพอ ๆ กับนรสีห์ซึ่งไม่เหมือนกับเทพนรสิงห์ที่นุ่งผ้าเรียบร้อย และโดยเหตุที่เป็นลิง ก็มักจะถือผลไม้ซึ่งเป็นอาหารของโปรดไว้ด้วยเสมอ ดีกว่ามืออยู่เปล่า ๆ

นรสีห์ คำว่า "นรสีห์" มีความหมายในด้านภาษาหลายอย่างด้วยกัน "นร" หมายถึง คน,ชาย ถ้าเป็นเพศหญิงใช้ว่า นรี หรือ นารี "สิงห์" หมายถึง สัตว์ร้ายในจำพวกสัตว์กินเนื้อ ในพจนานุกรมให้ความหมายของคำว่า นรสิงห์ ไว้ว่า นรสิงห์, นรสีห์ น.คนปานสิงห์ นักรบผู้มหาโยธิน ในหนังสือสันสกฤต ไท อังกฤษ อภิธาน อธิบายว่า "นรสิงห์ พระวิษณุในอวตารครั้งที่ ๔ นรผู้มีศีรษะเป็นสิงห์, อธิบดี, ประธานบุรุษ,ผู้เป็นเจ้า, ผู้เป็นใหญ่" นรสีห์ ตามที่กล่าวข้างต้น หมายเอาเฉพาะคนที่มีศีรษะเป็นสิงห์ แต่ตามหลักฐานอื่น นรสีห์ หน้าเป็นคน ตัวเป็นสัตว์ประเภทสิงห์ หรือพวกสัตว์ที่มีเท้าเป็นกีบ นรสีห์นั้นว่ามีเป็นสองอย่าง คือ เท้าเป็นเล็บก็มี เท้าเป็นกีบก็มี ที่ทำท่อนล่างเป็นดังตัวเนื้อ มีหางยาวปลายเป็นพู่อย่างนี้ เท้าก็เป็นกีบนรสีห์ในภาพที่นำมาประกอบเรื่องนี้มีเท้าเป็นเล็บ ส่อลักษณะว่าเป็น สีห์เพื่อให้ตรงตามชื่อและเป็นนรสีห์ตัวเมียตามแบบไทย ๆ ดังจะสังเกตได้จากทรงผม ถ้าว่าตามทรวดทรง ก็เป็นนรสีห์ที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ เพราะลักษณะของสีห์ ทำให้ดูเทอะทะไปบ้าง

อสูรปักษา ในพจนานุกรมให้ความหมายของคำอสูรไว้ว่า หมายถึงยักษ์ และอธิบายคำว่าอสูร ว่าหมายถึง "อมนุษย์พวกหนึ่งเป็นศัตรูต่อเทวดา, แทตย์, ยักษ์, มาร, ผี" เหตุที่อสูรจะเป็นศัตรูกับพวกเทวกานั้น ก็เพราะสมัยหนึ่งพวกเทวดาคือพระอินทร์ได้วางแผนมอมเหล้าพวกอสูร แล้วจับพวกอสูรโยนลงมาจากสวรรค์ เทวดาเข้าไปอยู่แทนหมด พวกอสูรจึงได้โกรธแค้นเทวดามาก พอถึงฤดูดอกแคฝอยบานคราวไร พวกอสูรก็นึกถึงดอกปาริชาตในแดนสวรรค์คราวนั้นแล้วก็ยกพวกขึ้นไปรบกับพระอินทร์เพื่อแย่งเอาสวรรค์กลับคืนมา เป็นสงครายืดเยื้อมาก (ดูเรื่องพระอินทร์ในหนังสือ "เทวนิยาย" ของ "ส.พลายน้อย") รูปอสูรปักษาอยู่ในชุดเดียวกันกับอสุราวิหค คือท่อนหัวและตัวเป็นยักษ์ ท่อนล่างเป็นนก แต่เพื่อให้ต่างกันออกไป ก็เปลี่ยนลักษณะของนกให้ผิดกันตามความเหมาะสม อสูรปักษานั้นท่าทางเป็นยักษ์ใหญ่กว่าอสุราวิหค แต่ก็ถือกระบองด้วยกันเพราะขึ้นชื่อว่ายักษ์แล้ว ต้องมีกระบองเป็นอาวุธ

เทพนรสิงห์ ได้เคยกล่าวมาแล้วว่า คำ นรสิงห์, นรสีห์ มีความหมายเหมือนกัน คือแปลว่า คนปานสิงห์ และ นักรบผู้มหาโยธิน ตามภาพเขียนมักเรียกชื่อปน ๆ กันไปหมด ไม่ว่าเท้าจะเป็นอย่างไร ตามปรกติ นรสิงห์, นรสีห์ ถ้าทำท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างมักจะเป็นลักษณะของสิงห์คือเท้าเป็นสิงห์ หรือสีห์ แต่บางทีทำท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างกลับเป็นลักษณะของสัตว์ประเภทมีกีบคือพวกเนื้อทราย ก็เรียกปน ๆ กันไปว่า นรสิงห์ เหมือนกัน ซึ่งความจริงน่าจะเรียกชื่อใหม่ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงบันทึกความรู้เรื่องสิงห์ประทานพระยาอนุมานราชธนตอนหนึ่งว่า "นรสิงห์ เป็นสองอย่าง คือ เท้าเป็นเล็บก็มี เท้าเป็นกีบก็มี นรสงิห์คือคนครึ่งสิงห์ เป็นสัตว์แบบย่อม มีอยู่เกือบทุกพวกทุกภาษา แต่ที่ของเรามีมา มักทำเท้าเป็นกีบนั้นประหลาดนักหนา ในตำราสัตว์หิมพานต์ก็มี ดูเหมือนเรียกว่า อัปสรสีหะ" ดังนี้พอสรุปได้ว่า ถ้าท่อนบนเป็นนาง และเท้าท่อนล่างเป็นกีบ ก็เป็นอัปสรสีหะ แต่เมื่อเปลี่ยนท่อนบนเป็นเพศชาย ก็กลายเป็นเทพนรสิงห์กระมัง

พานรปักษา "พานรปักษา" มาจาก พานร แปลว่า ลิง และ ปักษา แปลว่า นก รวมหมายความว่า ครึ่งลิงครึ่งนก ในภาพไม่ใช่ภาพลิงธรรมดา แต่เป็นลิงใหญ่ทรงเครื่อง เพื่อเล่นลวดลายได้ และโดยเหตุที่ลิงชอบผลไม้ ช่างจึงให้ถือมะม่วงและชมพู่ ทำให้น่าดูยิ่งขึ้น ที่พิเศษก็คือ ทั้งลิงทั้งนกต่างก็มีหาง ผู้เขียนภาพเสียดายหางลิงไม่กล้าตัด ก็เลยทำให้มีทั้งสองอย่าง เมื่อหางลิงตวัดขึ้น หางนก หรือหางไก่ก็ห้อยลง

อสุรวิหค อสุรวิหค ประกอบด้วยคำว่า "อสุร" และ "วิหค""อสุร" หมายถึง อมนุษย์พวกหนึ่ง ซึ่งหมายรวมไปถึงพวกแทตย์,ยักษ์,มาร ฯลฯ (มีกล่าวถึงอย่างพิสดารในหนังสือ "อมนุษยนิยาย" โดย "ส.พลายน้อย")ส่วน "วิหค" หมายถึง นก เมื่อเอามาประกอบเป็นภาพ จึงได้เลือกส่วนหัวและลำตัวของอสุร ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นยักษ์เป็นมาร มาต่อเข้ากับส่วนขาและส่วนหางของนก ก็สำเร็จรูปเป็น"อสุรวิหค" ความจริง อสุรวิหค ในภาพนี้ไม่จำเป็นต้องถือกระบองก็ได้ แต่โดยเหตุที่พวกอสุรมักนิยมถือกระบองเป็นอาวุธ ช่างเขียนก็เลยเขียนกระบองให้ถือเล่นไปอย่างนั้นเอง อสุรวิหคตามตัวอย่างนี้เป็นเพศชาย ถ้าจะเขียนให้เป็นชุดก็อาจเปลี่ยนให้เป็นเพศหญิงได้อีกตัวหนึ่ง ภาพอสุรวิหค เป็นภาพแนวเดียวกับภาพกินนร ซึ่งเป็นพวกครึ่งคนครึ่งนก ส่วนภาพอสุรวิหค เป็นภาพครึ่งยักษ์ครึ่งนก

สัมพาที นกสัมพาทีเป็นนกที่กล้าหาญและเสียสละ ดูตามรูปก็สวยงาม มีขนพอเหมาะ ถ้าว่าตามตำนานก็ต้องมีขนสีแดง แต่ตามเรื่องจริง ๆ แล้ว นกสัมพาทีเคยขนหลุดหมดทั้งตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า สัมพาทีมีนกน้องอยู่ตัวหนึ่งชื่อ สดายุ เมื่อครั้งยังอยู่ภูเขาอัศกรรณนั้น สดายุยังไร้เดียงสา วันหนึ่งเห็นพระอาทิตย์อุทัย นึกว่าเป็นผลไม้สุกลอยอยู่ ก็โผถลาเข้าหาจะจิกกิน พระอาทิตย์โกรธหาว่าสดายุบังอาจ ไม่รู้จักที่ต่ำสูง ก็เปล่งแสงทวีความร้อนเข้าใส่สดายุ นกสัมพาทีเห็นไม่ได้การ ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนั้น นกน้องคงต้องเป็นนกย่างแน่ ๆ สัมพาทีจึงบินขึ้นไปกางปีกบังแสงอาทิตย์ให้น้อง ความร้อนเลยทำให้ขนสัมพาทีร่วงหมด เท่านั้นยังไม่สะใจ พระอาทิตย์สาปซ้ำว่าอย่าให้ขนงอกขึ้นมาอีกเลย ให้ไปอยู่ถ้ำเหมติรัน ถ้าวันใดทหารพระรามกลับจากนำแหวนไปถวายนางสีดา มาพักที่ถ้ำนี้แล้วโห่ขึ้นสามลา จึงให้ขนงอกขึ้นมาอีก นกสัมพาทีจึงมีขนงามดังในภาพ ไม่งั้นกลายเป็นนกย่างไร้ขนไปแล้ว

นกเทศ ดูตามรูปดู "นกเทศ" เหมือนจะหมายว่า เป็นนกที่มาจากต่างประเทศ หรือหมายถึงแขก เช่น เครื่องเทศ ม้าเทศ ผ้าเทศ ถ้าเป็นนก เราก็เคยมีเรียกนกชนิดหนึ่งว่า นกกระจอกเทศ ซึ่งเป็นนกต่างประเทศเข้ามาครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามเรื่องว่า อะลังกะปูนี ชาวอังกฤษ ได้แล่นเรือกำปั่นเข้ามาเมืองไทยในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาอมรินทร์ ได้นำม้าเทศ สิงห์โต และนกกระจอกเทศเข้ามาถวายเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๓๐๘ นกกระจอกเทศนั้นสูง ๓ ศอกคืบ เป็นนกที่สูงใหญ่แข็งแรงมากจนเด็กขึ้นไปขี่เล่นได้ แต่นกเทศในจำพวกสัตว์หิมพานต์ที่กล่าวถึง จะสมมมุติหรือคิดขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนนกกระจอกเทศหรือเปล่าไม่ทราบ ดูตามลักษณะเฉพาะส่วนหาง กระเดียดไปทางหางนกยูง ซึ่งนกกระจอกเทศไม่มีหางเช่นนี้ ฉะนั้นจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็สรุปเอาว่าช่างวาดคิดประดิษฐ์กันขึ้นมาเอง ผสมผสานให้ดูเล่นแปลก ๆ อย่างนั้นเอง

พญาครุฑ ครุฑ ตามความหมายทั่ว ๆ ไป หมายถึงพญานก แต่โบราณเขียนว่า ครุธเพราะอักขระวิธีเดิมของเราไม่ใช้ ฑ เป็นตัวสะกดแต่ลำพัง แม้ที่ใช้เป็นตัวสะกดควบเช่น วุฑฒิ วัฑฒนะ ก็มักตัดตัวกลางออกเหลือแต่ วุฒิ วัฒนะ ด้วยเหตุนั้นแต่เดิมจึงเขียนเป็น ครุธ ตามนิยายอินเดียกล่าวว่า พญาครุฑกับพญานาคเป็นพี่น้องกัน คือเป็นโอรสของพระกัศยปเทพบิดรและนางวินตาเป็นมารดา ส่วนมารดาของพญานาคคือนางกัทรุ พูดง่าย ๆ ก็คือพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ พญาครุฑเป็นใหญ่ทางฝ่ายอากาศ พญานาคเป็นใหญ่ทางน้ำ ตามปรกติพญาครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์ เพราะครั้งหนึ่งพญาครุฑกับพระนารายณ์ได้ประลองฤทธิ์กันและไม่สามารถเอาชนะกันได้ จึงตกลงกันว่า ถ้าเวลาเดินทางไปไหน ให้พญาครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์ แต่เวลาอยู่กับที่ พญาครุฑนั่งสูงกว่าพระนารายณ์ ลักษณะของครุฑเป็นไปตามความคิดความเชื่อของแต่ละชาติ อินโดนีเซียคิดไปอย่างหนึ่ง เนปาลคิดไปอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นรูปร่างของครุฑจึงแตกต่างกันไป ท่านที่ต้องการเปรียบเทียบลักษณะของครุฑจะหาอ่านได้จากหนังสือ "อมนุษย์นิยาย" โดย"ส.พลายน้อย" ตามคตินิยมของไทยได้ใช้รูปครุฑเป็นเครื่องหมายในผืนธง และเป็นพระราชลัญจกรมาแต่โบราณกาล ในปัจจุบันใช้เป็นเครื่องหมายทางราชการ

หงส์ หงส์เป็นสัตว์ในวรรณคดีที่มีการกล่าวถึงมากที่สุด คำว่า หงส์ ในพจนานุกรมของจิลเดอร์แปลไว้ว่า a goose, a swan ตามโบราณสถานหลายแห่งทำรูปหงส์เป็นห่าน เช่นในชวาทำรูปพาหนะของพระพรหมเป็นห่าน คำว่า ห่าน นั้น ก็เข้าใจว่าจะมาจาก หันส ซึ่งตรงกับภาษาบาลีว่า หังส ในสมัยสุโขทัย รูปหงส์ยังมีลักษณะเป็นห่านอยู่มาก คือยังไม่มีลวดลายหรือกระหนกมากเหมือนอย่างสมัยอยุธยาและกรุงเทพฯ รูปหงส์รุ่นเก่าจะดูได้จากภาพปูนปั้นที่วัดพระพายหลวง สุโขทัย และหงส์ดินเผาประดับฐานเจดีย์วัดช้างรอบกำแพงเพชร (ดูภาพลายเส้นได้จากหนังสือ "พุทธศิลปสุโขทัย" ของ "สงวน รอดบุญ") ตามตำนานกล่าวว่า พระพรหมธาดาได้บันดาลให้บังเกิดเป็นสุวรรณหงส์ขึ้นเพื่อเป็นพาหนะ จึงได้นามปรากฏว่า "ครรไลหงส์" บางตำราว่าพระพรหมประทับบนรถ มีหงส์เจ็ดตัวลากรถก็มี ในนิยายของอินเดียกล่าวว่าหงส์อยู่ทางทิศใต้ของเขาไกรลาศ ณ ที่นั้นเป็นสระสวยงาม อันมีนามว่า มานะสะ หรือ มานัส กล่าวกันว่างามหนักหนา หงส์ตัวใดไปแล้วต้องไปอีก ในชาดกมีกล่าวถึงหงส์หลายเรื่อง เช่นว่า ครั้งหนึ่งพระสารีบุตรเกิดเป็นกษัตริย์ครองนครสาคล พระพุทธเจ้าเกิดเป็นพญาหงส์ พระอานนท์ก็เป็นหงส์รวมอยู่ด้วยได้ปกครองพวกหงส์ถึง ๙๖,๐๐๐ ตัว (ดูเรื่อง หงส์ ในหนังสือ "สัตวนิยาย" โดย "ส.พลายน้อย") ตามนิยายโบราณของฝรั่ง เขาว่าหงส์ (Swan) ร้องครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิตคือเมื่อจะตาย ว่ากันตามเรื่อง หงส์เป็นสัตว์หิมพานต์แท้ ๆ เพราะมีที่อยู่แน่นอน ในแดนหิมพานต์

ติณราชสีห์ ติณราชสีห์ เป็นพวกราชสีห์กินหญ้า (ติณ แปลว่า หญ้า) ดังได้กล่าวไว้ในเวชสันดรชาดกว่า "ติณราชสีห์เสพซึ่งเส้นหญ้าเป็นอาหาร" ดูเป็นพวกมังสวิรัติ (ปราศจากความยินดีในเนื้อคนและเนื้อสัตว์) เมื่อเทียบติณราชสีห์กับบัณฑุราชสีห์แล้ว จะเห็นต่างกันได้ชัดอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือ ลาย ติณราชสีห์มีลายขดเป็นวง แต่บัณฑุราชสีห์มีลายเป็นแบบลายเสือยิ่งมีสีเหลืองด้วยแล้ว ก็ใกล้เสือเข้าไปมาก อีกอย่างหนึ่งที่ผิดกันที่หาง หางติณราชสีห์เป็นพวงงาม ลักษณะส่อให้เห็นขนหางดกฟู ส่วนหางบัณฑุราชสีห์เป็นแบบหางสิงห์หรือหางราชสีห์ทั่ว ๆ ไป คือมีขนเฉพาะที่ตอนปลายหางเท่านั้น ถ้าดูตามอุปนิสัยที่กินหญ้า ติณราชสีห์ก็ดูไม่น่ากลัวอะไร แต่คำว่า ราชสีห์นั้นยังแสดงอำนาจอยู่ อย่างน้อยเสียงคำรามก็คงทำเอาสัตว์อื่น ๆ ขนพองสยองเกล้าไปได้เหมือนกัน

กาสรสิงห์ การสรสิงห์นั้นมองดูเผิน ๆ เหมือนกับราชสีห์ทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อพิเคราะห์ดูให้ดีแล้วแตกต่างกัน เพราะรวมลักษณะของ กาสร กับ สิงห์ ไว้ด้วยกัน ท่อนหัวและตัวเป็นแบบสิงห์ มีลายขดเป็นวง แต่ส่วนขาและเท้าเป็นแบบสัตว์มีกีบ เห็นจะมีลักษณะของควาย เพราะกาสรแปลว่า ควาย เรื่องของกีบสัตว์นี้ก็แปลก มีต่าง ๆ กันไป ในทางช่างเขียนของเรา ท่านจะถือหลักธรรมชาติหรือว่าเขียนตามโบราณต่อ ๆ กันมาก็ไม่ทราบ เพราะเห็นเขียนกีบสัตว์บางชนิดปน ๆ กันอยู่ ถ้าว่าตามเรื่องสมัยดึกดำบรรพ์ทีเดียวก็ต่างกับในปัจจุบัน อย่างกีบม้านั้น ท่านว่าแต่โบราณทีเดียวมีกีบคู่ นอกจากกีบไม่เหมือนกันแล้ว เครื่องในบางอย่างก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย ถ้าว่าตามลักษณะของธรรมชาติ กาสรสิงห์ก็น่าจะมีกีบคู่แบบควาย แต่ตามรูปเป็นแบบกีบเดียว จะว่าผิดก็ไม่ได้ เพราะรูปสัตว์เหล่านี้ไม่ใช่รูปสัตว์ตามธรรมชาติเป็นเรื่องของสัตว์ประสมตามจินตนาการ

บัณฑุราชสีห์ บัณฑุราชสีห์ เป็น ๑ ใน ๔ ของราชสีห์ ราชสีห์ในวรรณคดีมี ๔ ชนิด ดังมีพรรณาอยู่ในหนังสือมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์ มหาพน ตอนหนึ่งว่า "อนึ่งในห้องหิมพานต์ภูมิพนาวาสวิสัยสัตว์สุดที่จะรำพัน พวกคณานิกรสัตว์ทั้งหลายนั้น อนันต์อเนกนับมากกว่าหมื่นแสน ย่อมอาศัยในด้าวแดนดงกันการ ไพรพฤกษาสารสโมสรสรรพสัตว์จัตุบทนิกรทวิบาท เป็นต้นว่า สัตว์สุรสีหชาติสี่จำพวกพาฬผรุสร้ายราวีหนึ่งนามชื่อว่า ติณราชสีห์ เสพซึ่งเส้นหญ้าเป็นอาหาร หนึ่งชื่อว่ากาฬสิงหะ และ บัณฑุสุรมฤคินทร์ เสพซึ่งมังสนิกรกินเป็นภักษา สามราชสีห์มีสรีรกายาพยพอย่างโคขนพิกลหลาก ๆ กัน พรรณหม่นมอเป็นมันหมึกมืดดำสำลานเหลืองเลื่อมแลประหลาดหนึ่งนาม ไกรสรสิงหราช ฤทธิเริงแรง ปลายหางและเท้าปากเป็นสีแดงดูดุจจะย้อมครั่งพรรณที่อื่นเอี่ยมดั่งสีสังข์ใสเศวตวิสุทธิสดสะอ้าน ประสานลายวิไลผ่านกลางพื้นปฤษฎางค์แดงดั่งชุบชาด อันนายช่างชาญฉลาดลากลวดลงพู่กันเขียนเบื้องอูรุนั้นเป็นรอยเวียนวงทักษิณาวัฏ เกสรสร้อยคอดั่งผ้ารัตตกัมพล" กล่าวเฉพาะ บัณฑุราชสีห์หรือบัฯฑุสุรมฤคินทร์นั้นจัดอยู่ในพวกสัตว์กินเนื้อ ขนสีเหลืองอ่อนหรือขาวเหลือง เพราะคำว่า บัณฑุ แปลว่า เหลืองอ่อนหรือซีด

สิงหรามังกร สิงหรามังกร เป็นสัตว์ผสมระหว่าง สิงห์ กับ มังกร กล่าวตามพจนานุกรม สิงหรา หมายถึง สิงห์, สิงห์ตัวเมีย ดูตามลักษณะลำตัวจะเป็นสิงห์ ท่อนหัวเป็นมังกร แต่ผิดกับตัวสิงห์ทั่ว ๆ ไปคือ แทนที่จะมีขนขดเป็นวง กลับมีเกล็ด เรียกว่า เอาเกล็ดมังกรมาประดับตัวสิงห์แทน ส่วนหางยังเป็นลักษณะทางสิงห์ ถ้าว่ากันตามนิสัยและเผ่าพันธุ์ก็ไปด้วยกันไม่ได้ สิงหราเป็นสัตว์อยู่ตามป่าตามถ้ำ ส่วนมังกร เป็นสัตว์น้ำหรือยู่ได้ทั้งในน้ำในอากาศ มังกรเป็นสัตว์ในนิยายของจีน มีฤทธิ์มีอำนาจมาก สามารถบังคับฝนก็ได้ลักษณะของมังกรมีกล่าวกันหลายตำรา บ้างก็ว่ามีหัวเหมือนม้า มีหูเหมือนวัว บ้างก็ว่าไม่มีหูและว่ามังกรได้ยินเสียงจากเขาที่มีลักษณะเหมือนเขากวาง ที่อยู่ของพวกมังกรนั้นว่าอยู่กลางทะเลลึก แต่ตามตำนานเขาแบ่งหน้าที่ของมังกรไว้ ๔ พวก คือ พวกรักษาวิมารเทวดา, พวกให้ลมให้ฝน, พวกรักษาแม่น้ำลำธาร และพวกเฝ้าขุมทรัพย์

เหมราช คำว่า เหมราช จะแปลหรือหมายความว่าอะไรไม่รู้ ตามรูปคำน่าจะมาจาก "เหม" และ "ราช" ในพจนานุกรมให้ความหมายของคำ "เหม" ไว้ว่า "ทองคำ, ช้างพวกหนึ่ง ในสิบตระกูลเรียกว่า เหมหัตถี, เรียกฝาหียหรือภาชนะบางอย่างซึ่งยอดเขาแหลมปิดทอง, เรียกส่วนยอดประสาทถัดปล้องไฉนลงมา" ไม่มีคำว่า เหมราช ถ้าจะให้เดาเล่น ๆ สัตว์ที่มีชื่อว่า "เหม" คงจะหมายถึงสัตว์ที่มีหน้าแหลม ๆ ตามภาพเขียนก็เห็นทำเป็นแบบหน้าแหลม ๆ ปากยาวกว่าหงส์ บางท่านก็เขียนเครา บางท่านก็ไม่เขียน บางทีจะหมายเอาที่มีเคราเป็นตัวผู้ ที่ไม่มีเคราเป็นตัวเมียกระมัง ในสมัยก่อนเคยได้ยินพูดกันว่า "ทำหน้าเป็นเหมทีเดียว" นึกไม่ออกว่าทำหน้าอย่างไร คงจะปากยื่นยาวกระมัง ในบทกวีโบราณมักกล่าวถึงคำว่า เหม คู่กับ หงส์ อย่างเช่นขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนปลอบวันทอง มีกลอนตอนหนึ่งว่า "ไปเป็นเพื่อนพี่บ้างในกลางดง ชมหงส์เหมเล่นให้เย็นใจ" หรือในนิราศนรินทร์ มีโคลงอยู่บทหนึ่งว่า "วัดหงส์เหมราชร้าง รังถวาย" ซึ่งในทางกวีหมายถึง พญาหงส์ทอง คำว่า เหมราช เมื่อเทียบกับคำ นาคราช, สีหราช, หงสราช แล้วก็น่าจะหมายเพียงว่า เป็นสัตว์ที่มีอำนาจราชศักดิ์เป็นพญาเหม แต่ตามภาพเขียนของเหมราชเขียนท่อนตัวเป็นสิงห์ หัวเป็นหงส์ คำว่า เหมราชจึงน่าจะเป็นเหมสีหราช หรือเหมราชสีห์มากกว่า

สกุณไกรสร เมื่อเทียบดูระหว่างรูป "เหมราช" กับรูป "สกุณไกรสร" แล้ว จะเห็นว่าเป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน คือเป็นสัตว์ประสมระหว่าง นก กับ สิงห์ ต่างกันแต่ว่าเป็นนกคนละชนิด เหมราช เป็นนกประเภทปากหงส์ คือ ปากยาว ส่วนสกุณไกรสรเป็นนกประเภทปากสั้น ส่วนลำตัวนั้นก็เป็นแบบเดียวกัน คือ เป็นสัตว์ชนิดเท้ามีเล็บแบบสิงห์จะผิดกันตรงที่หาง เหมราชมีหางเป็นแบบสิงห์ หรือราชสีห์ ปลายหางเป็นพวง ส่วนสกุณไกรสร มีหางเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งถ้าว่ากันตามความหมายทางภาษา ไกรสรก็คือ สิงห์โต ซึ่งตามพจนานุกรมให้ความหมายไว้ว่า "สัตว์ในนิยายของจีน ถือว่ามีความดุร้ายและมีกำลังมาก" คำว่า ไกรสร นั้นว่าแผลงมาจาก เกสรี หมายความว่า มีขนสร้อยคอ ส่วนราชสีห์นั้นหมายถึงพญาสิงห์โต เรียกสิงห์โตสามัญที่เขียนรูปอย่างแบบไทย สรุปว่าไกรสร สิงห์โต ราชสีห์ เป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน แต่เมื่อเขียนให้เป็นไกรสรก็ทำหางให้เป็นอย่างหางสิงห์โตของจีน เมื่อเขียนเป็นราชสีห์ ก็ทำหางให้เป็นแบบราชสีห์ไทย เรียกว่าผิดกันตรงหาง สกุณไกรสร จึงมีหางเป็นแบบหางสิงห์โต

ทักทอ สัตว์ประหลาดที่เรียกกันว่า "ทักทอ" นั้น ดูเผิน ๆ เหมือนกับคชสีห์ เพราะมีจมูกยาวและมีงาด้วย ส่วนตัวนั้นเป็นสิงห์ "ทักทอ" เป็นภาษาอะไรก็ไม่ทราบ บรรดาครูช่างเขียนแต่ก่อนก็จนปัญญาตอบไม่ได้ นักเรียนก็อ่านไม่ออก ทัก-ทอ หรือ ทัก-กะ-ทอ บางคนตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินแต่คนเก่าเขาอ่านว่า ทัก-กะ-ทอ ทักทอ จะเขียนมาแต่เดิมอย่างไรไม่ทราบ แต่ได้พบในเอกสารเรื่องตำราหน้าที่ตำรวจในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่ามี เรือทักทวง เรือทักทวง นี้มีผู้ให้ความเห็นว่า คือ เรือทักทอ หรือทักกะทอ นั่นเอง เรือทักทอคู่กับเรือนรสิงห์ เป็นเรือขบวนสัตว์แสนยากร เข้าขบวนแห่ เมื่อเป็นเช่นนี้คำว่า ทักทอ หรือตัวทักกะทอ ก็มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาโน้นแล้ว

โตเทพอัสดร เป็นสัตว์อยู่ในพวก เหมราอัสดร หรือตัวเป็นม้า ผิดกันเฉพาะที่หัว โตเทพอัสดรมีหัวเป็นสิงห์โต คำว่า โต ในภาษาไทย หมายถึง สิงห์โต ได้ด้วย อย่างเช่น เมื่อมีกลบทชนิดหนึ่ง เรียกว่า โตเล่นหาง ก็หมายถึง สิงห์โตเล่นหางนั่นเอง ที่มีคำว่าเทพผสมเข้าไปด้วย ก็เห็นจะให้หมายว่าเป็นสัตว์เทวดานั่นเอง มีสัตว์หิมพานต์ลักษณะเดียวกันนี้อีกแบบหนึ่ง เรียกกันว่า เทพีอัสดร เรื่องการตั้งชื่อสัตว์ประหลาด ๆ เหล่านี้ พวกช่างเองก็คงจะอึดอัดคิดไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี การตั้งชื่อจึงมีอยู่ ๒ ลักษณะ คือ๑. เอาชื่อ หรือลักษณะ หรือประเภทของแต่ละชนิดมารวมกัน เช่น พานรปักษา,นาคปักษิณ, สกุณไกรสร ฯลฯ คือเอาลักษณะของนกมารวมกับสัตว์อื่น แล้วหาคำเปลี่ยนไปให้แปลก ๆ ดังจะเห็นว่า ปักษา, ปักษิณ, สกุณ หมายถึงนกทั้งนั้น ชื่อเหล่านี้มักจะเป็นชื่อผสมขึ้นใหม่๒. ชื่อเฉพาะชนิด เป็นชื่อเดิมที่เรียกกันมาแต่โบราณ จะว่าเป็นสัตว์หิมพานต์รุ่นแรกก็เห็นจะได้ เช่น กินรี, กิเลน,เหรา, ทัณฑิมา เป็นต้น

สินธพนที สินธพนที นั้น บางทีท่านก็เขียนว่า สินธพนัทธี ตามแบบโบราณ สินธพนที แปลตามตัวก็คือ ม้าน้ำ นั่นเอง แต่ถ้าแยกเป็นคำแล้ว ความหมายกว้างออกไปอีก สินธพ หมายถึง ม้าพันธุ์ดีที่เกิดแถวลุ่มแม่น้ำสินธุ แม่น้ำสินธุเป็นแม่น้ำสำคัญสายหนึ่งในอินเดีย นอกจากนี้ สินธุ ยังเป็นชื่อเมืองโบราณของอินเดียอีกด้วย เมืองสินธุนี้เข้าใจกันว่าจะเป็นเมืองหนึ่งของรัฐสินธ ในปัจจุบันเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางม้า ม้าดี จึงมีนามว่า สินธพ หรือเรียกตามสันสกฤตว่า ไสนธวะ เรียกว่า ชื่อม้าเอามาจากชื่อเมือง ชื่อแม่น้ำ แล้วเลยกลายเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกม้ารวม ๆ กันไปด้วย สินธพนที หรือม้าน้ำ ก็มีลักษณะเป็นม้าธรรมดา ๆ นี่เอง จะผิดธรรมชาติอยู่ก็ตรงหางและเท้า ปลา เป็นสัตว์น้ำ ตัดเอาหางปลามาต่อเข้าก็กลายเป็นม้าน้ำไปได้ ปลามีครีบ ก็เลยเอาครีบมาติดที่ขาม้าด้วย

เหมราอัสดร เหมราอัสดร นั้น ตามตำราว่าตัวเป็น ม้า หน้าเป็น หงส์ ว่าตามศัพท์ คำว่า อัสดร หมายถึง ม้าดี แต่อีกทางหนึ่งว่าเป็นสัตว์พันธุ์พิเศษคือ เกิดจากพ่อที่เป็นลาและแม่ที่เป็นม้า หรือที่เรียกกันว่า ล่อ (พจนานุกรมไทย โดยมานิต มานิตเจริญ) แต่คำว่า ล่อ ในพจนานุกรมให้ความหมายไว้ว่า "สัตว์ลูกผสมชนิดหนึ่งลักษณะครึ่งม้าครึ่งลา โดยมากแม่เป็นลา พ่อเป็นม้า" ความกลับกันกับที่กล่าวถึงในเรื่อง อัสดร ในหนังสือนารายณ์สิบปางฉบับไทยกล่าวว่า พระพายเทวบุตรบันดาลให้เกิดเป็นอัศวราช ม้าสี่ตระกูล ชื่อ วลาหก เป็นตระกูลที่หนึ่ง ชื่อ อาชาไนย เป็นตระกูลที่สอง ชื่อ สินธพมโนมัย เป็นตระกูลที่สาม ชื่อ อัสดร เป็นตระกูลที่สี่ ม้าทั้งสี่ตระกูลนี้นี้เป็นพาหนะของพระพายเทวบุตร
เมื่อแรกนั้น ม้าทั้งสี่ตระกูลนี้เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่คราวหนึ่งม้าทั้งสี่นี้ไปได้นางอัศวราช ซึ่งเป็นม้าเทียมรถพระอุมา แล้วหลงใหลใฝ่ฝัน ครั้นไม่พบหน้าก็กระวนกระวาย พากันเหาะติดตาม แล้วหลงเข้าไปในสวนของพระอิศวร กินหญ้าในสวนเพลิดเพลินไป อสูรนนทการผู้เฝ้าสวนมาพบเข้าจึงจับไปถวายพระอิศวร ผู้เป็นเจ้าจึงมีเทวโองการ สั่งอสูรนนทการให้จัดเอ็นเหาะที่เท้าม้าทั้งสี่นั้นเสีย อย่าให้เหาะเหินเดินอากาศได้สืบไป สรุปความตามนิยาย "เหมราอัสดร" ก็เป็น หงส์ กับ อัสดร คือม้าตระกูลที่๔ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง

กิเลน คำว่า "กิเลน" เป็นคำที่มาจากภาษาจีน เป็นชื่อของสัตว์ในเทพนิยายจีนที่ออกจะแปลก คือสัตว์อย่างเดียวกันแต่เรียกต่างกัน ถ้าเป็นตัวผู้เรียกว่า "กี" ถ้าเป็นตัวเมียเรียกว่า "เลน" แล้วเอามาเรียกกันว่า "กีเลน" หรือ "กิเลน"
กิเลน ตามตำนานจีนว่ามีรูปร่างเหมือนกวาง แต่มีเขาเดียว หางเหมือนโคหัวเป็นมังกร ตีนมีกีบเหมือนม้า (บางตำราว่ามีตัวเป็นสุนัข ลำตัวเป็นเนื้อสมัน)ว่าเกิดจากธาตุทั้งห้า คือ ดิน น้ำ ไฟ ไม้ และโลหะ ผสมกัน ข้อสำคัญว่ามีอายุอยู่ได้ถึงพันปี และถือว่าเป็นยอดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดีปรากฏให้เห็นเมื่อใด ก็จะเกิดผู้มีบุญมาปกครองบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขเมื่อนั้นเป็นหนึ่งในสี่ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ มี หงส์ เต่า มังกร และกิเลน ไทยเราคงรู้จักกิเลนของจีนมานานแล้ว ในสมุดภาพสัตว์ป่าหิมพานต์ที่ช่างโบราณได้ร่างแบบสำหรับผูกหุ่นเข้ากระบวนแห่พระบรมศพ ครั้งรัชกาลที่ ๓ ก็มีรูปกิเลนจีนทำหนวดยาว ๆ ส่วนภาพกิเลนในนี้เป็นกิเลนแบบไทย มีกระหนกและเครื่องประดับเป็นแบบไทย ๆ การจัดลายประกอบผิดไปจากในสมุดภาพสัตว์ป่าหิมพานต์ของโบราณนั้นบ้าง ที่แปลกอีกอย่างหนึ่ง คือ กิเลนไทยมีสองเขา ของจีนแท้ ๆ มีเขาเดียว

เหรา ในวรรณคดีมักจะกล่าวถึงสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "เหรา" อย่างในเรื่องอุณรุท ก็มีกล่าวถึงตอนนางศรีสุดาลงสำเภาไปในทะเลว่า
"เงือกงามหน้ากายคล้ายมนุษย์ เคล้าคู่พู่ผุดในชลฉาน ราหูว่ายหาปลาวาฬ โลมาผุดพ่านอลวน พิมทองท่องเล่นเป็นหมู่หมู่ สีเสียดปนอยู่กับยี่สน จันทรเม็ดแมวม้าหน้าคน ฉลามลอยล่องพ่นวาริน มังกรเกี้ยวกันกลับกลอก เหราเล่นระลอกกระฉอกกสินธุ์ ช้างน้ำงามล้ำหัสดิน ผุดเคล้านางกรินกำเริบฤทธิ์"
ในเรื่องนี้ไม่บอกว่า เหรา มีรูปร่างเป็นอย่างไร แต่พอจับความได้ว่า เป็นสัตว์ทะเล ในพจนานุกรมอธิบายไว้ว่า เหรา เป็น "สัตว์ในนิยาย มีรูปครึ่งนาคครึ่งจรเข้" อ่านคำอธิบายแล้วยังไม่รู้ว่าครึ่งไหนเป็นอะไร ต้องฟังเพลงโบราณจึงจะรู้ประวัติ เพลงโบราณเล่าถึงประวัติ เหรา ไว้ว่า "บิดานั้นนาคา มารดานั้นมังกร มีตีนทั้งสี่ หน้ามีทั้งครีบทั้งหงอน"
มีแปลกอีกอย่างหนึ่ง คือ ในทางช่างกลับเรียกว่า "เหราพด" ทำไมจึงเรียกอย่างนั้นก็ไม่ทราบ

พญานาค เป็นสัตว์น้ำตามนิยายที่มีฤทธิ์อำนาจมาก ตามตำนานกล่าวว่า พญานาคเป็นโอรสของพระกัศยปเทพบิดร และนางกัทรุเป็นมารดา นี่ว่าตามนิยายอินเดีย เรื่องของนาคหรือพญานาค (คือสัตวที่มีตัวยาวเหมือนงู มีหงอน) มีเรื่องรวมอยู่ในนิยายนิทานเก่า ๆ ของไทยมากมายหลายเรื่อง อย่างเช่นเรื่องนางมโนราห์ก็มี พระยาจิตรชมภูนาคราช ซึ่งอยู่ในเมืองอุดรปัญจาล์ และทำให้เมืองนี้อุดมสมบูรณ์ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พระยาจิตรชมภูนี้มีเมืองอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน มีนาคสาว ๆ ห้อมล้อมมากมาย และมีอาวุธสำคัญอยู่อย่างหนึ่งคือบ่วงบาศ ซึ่งครุฑกลัวมาก และต่อมาพรานบุญได้มาขอเอาไปจับนางมโนราห์ ตามปกติแล้ว นาคจะเป็นอาหารของครุฑ แต่ถ้านาคตัวไหนนับถือพุทธศาสนาก็จะปลอดภัยจากปากครุฑ นี่ว่าตามตำนานข้างฝ่ายพุทธ ในตำนานข้างพระพุทธศาสนา มีเรื่องเกี่ยวกับพญานาคหลายเรื่อง เช่น มากำบังฝนให้พระพุทธองค์ ซึ่งเราเรียกพระพุทธรูปปางนี้ว่า พระปางนาคปรก เป็นต้น(เรื่องพิสดารของ พญานาค มีอธิบายไว้ในหนังสือ "อมนุษยนิยาย" โดย "ส.พลายน้อย")

มัจฉานุ มัจฉานุ ไม่ใช่สัตว์หิมพานต์ เป็นสัตว์ในวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ แต่มีอะไรพิเศษกระเดียดไปทางสัตว์หิมพานต์อยู่เหมือนกัน คือตัวเป็นลิงแต่มีหางเป็นปลา ต้นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อครั้งพระรามจองถนนข้ามไปกรุงลงกา การจองถนนต้องใช้ก้อนหินถม แต่ถมเท่าไรก็ไม่เต็ม เพราะพวกรักษาท้องน้ำของทศกัณฑ์ให้พวกปลามาขนเอาไปหมด เรื่องก็เดือดร้อนถึงหนุมาน ต้องแผลงฤทธิ์ไปดูเหตุการณ์ใต้ท้องทะเล ปราบพวกก่อการร้ายทำลายถนนเสียราบ แต่มีอยู่รายหนึ่งที่ไม่ใช้อาวุธรุนแรงประหาร ก็ไม่ใช่ใคร นางสุวรรณมัจฉา ลูกสาวของทศกัณฑ์นั่นเอง หนุมานใช้ศิลปะของการเจรจาจนผูกใจนางสุวรรณมัจฉาไว้ได้และยอมมอบตัวให้แต่โดยดีนางให้พวกปลานำก้อนหินกลับมาถมจนสำเร็จเป็นถนน หนุมานเกลี้ยกล่อมผู้ก่อการร้ายทำลายถนนสำเร็จ และยังได้ผลผลิตติดตามมา คือ มัจฉานุ ซึ่งเกิดแต่นางสุวรรณมัจฉา

แรด สมัยนี้ถ้าใครพูดว่า "สิบ-เอ็ด-รอ-ดอ" ก็รู้กันว่าหมายถึง แรด เพราะสระแอเวลาเขียนแล้วเหมือนเลข ๑๑ แต่ความหมายของ สิบ-เอ็ด-รอ-ดอ หรือ แรด ที่กล่าวนี้กระเดียดไปในทางแส่หรือจัดจ้าน ในพจนานุกรมให้ความหมายของคำว่า แรด ไว้ว่า "ชื่อสัตว์ป่าขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง หนังหนา หยาบ เท้ามีกีบคล้ายเท้าควาย ที่สันจมูกมีเขาเรียกว่า นอ บางตัวมีนอเดียว บางตัวมี ๒ นอ" ก็ไม่รู้ว่า แรด ไปเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย แรดนี้ บางทีเขาก็เรียกกันว่า ระมาด ตามภาษาเขมร คนโบราณเองก็ไม่ค่อยรู้จักแรด เมื่อช่างจะเขียนรูปแรดจึงทำเป็นรูปมีงวงคล้ายตัวสมเสร็จ ดังที่ปรากฏในดวงตราพระเพลิงทรงระมาด ซึ่งเคยใช้เป็นตราประจำตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการอยู่สมัยหนึ่ง (มีรูปอยู่ในหนังสือ "เรื่องตราต่าง ๆ "โดย "ส.พลายน้อย") ครั้นถึงสมัยรัชการลที่ ๕ เจ้าเมืองน่านส่งลูกแรดมาถวายตัวหนึ่ง คนกรุงเทพฯ จึงรู้จักแรดตัวจริงในครั้งนั้น และเคยเอาบุษบกเพลิงตั้งบนหลังแรดตัวนั้นแห่พระศพครั้งหนึ่ง ที่เอาบุษบกเพลิงตั้งบนหลังแรดก็เพราะมีตำนานว่า พระเพลิงมีพาหนะเป็นแรดตั้งแต่ได้เห็นแรดตัวจริงแล้ว รูปแรดในตำราสัตว์หิมพานต์ก็ยกเลิกไป ไม่มีใครเขียนรูปแรดเป็นแบบตัวสมเสร็จอีก

มัชฉวาฬ สัตว์หิมพานต์คราวนี้ดู ๆ ไม่น่าแปลก เพราะดูแล้วก็รู้ว่าเป็นปลา จะแปลกก็ที่ชื่อ "มัชฉวาฬ" แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ ได้ตรวจดูชื่ออะไรต่าง ๆ ที่คนโบราณเขียนไว้ในชุดสัตว์หิมพานต์ หรือภาพเทวดา ปรากฏว่ามีชื่อแปลก ๆ หาที่มาไม่พบอยู่มาก บางชื่อก็เพี้ยนเพียงเล็กน้อยพอเดาได้ คำว่า "มัชฉวาฬ" นี้ก็น่าจะอยู่ในจำพวก "เพี้ยน" "มัชฉ" น่าจะเป็น "มัจฉ" ที่แปลว่า ปลา ฉะนั้น คำว่า มัชฉวาฬ ก็น่าจะเป็น มัจฉวาฬ หมายถึง ปลาวาฬ นั่นเอง ปลาวาฬ เป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นสัตว์ทะเล คนไทยเห็นจะรู้จักปลาวาฬมานาน เคยอ่านพบว่าในสมัยโบราณ เคยมีปลาวาฬมีเกยตื้นในคลองแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คลองนั้นเลยเรียกว่า คลองปลาวาฬ ปลามัชฉวาฬตัวนี้มีที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ มีเขี้ยว ท่าทางออกจะดุร้าย มีหนวดมีเครา แต่เมื่อเขียนออกมาเป็นแบบไทย ๆ แล้วก็น่ารักไม่ใช่แต่น่ารักเฉพาะปลา แม้แต่คลื่นก็น่ารัก

กุญชรวารี กุญชรวารี แปลตามตัวก็คือ ช้างน้ำ แบบเดียวกับ สินธพนที คือ ม้าน้ำ จะแปลกกันก็ตรงที่ ม้าน้ำ เป็นม้าทั้งตัวแล้วมีหางเป็นปลา เรียกว่าเปลี่ยนเฉพาะหางเท่านั้น ส่วน กุญชรวารี ตัวเป็นปลา หัวกับเท้าหน้าเป็นช้าง กุญชรวารี เป็นภาพสัตว์หิมพานต์ที่นิยมเขียนไว้ตามผนังโบสถ์ที่มีเรื่องเกี่ยวกับทะเล ก็จะมีช้างน้ำว่ายคลอเคลีย อยู่ อย่างเช่นที่วัดช่องนนทรีย์ก็มี เมื่อดูามรูป กุญชรวารี ก็น่าจะเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก คือไปได้ทั้งบนบกและในน้ำ เมื่อจะเดินบนบกก็มีเท้าสองหน้าพาเดินไปได้ หรือจะว่ายน้ำก็คงสะดวก เพราะมีเท้าช่วยพุ้ยน้ำ มีหางปลาช่วยโบกส่งท้ายอีกแรง ประวัติของกุญชรวารีจะมีมาอย่างไรไม่ทราบ ก็คงจะทำนองเดียวกับสัตว์หิมพานต์อื่น ๆ ที่ช่างเขียนคิดประสมกันเอาเอง แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ น่าจะเอาคำที่หมายถึง ปลา มามีส่วนในชื่อด้วย จะเป็น กุญชรมัจฉา หรือ คชมัจฉา ก็น่าจะได้ กลับใช้ชื่อว่า กุญชรวารี คงจะต้องการให้เป็นช้างน้ำเท่านั้นเอง